การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง

          สมัยก่อนมีน้อยคนนักที่จะรู้จักหน่อไม้ฝรั่ง จะพบเห็นได้เฉพาะที่บรรจุในกระป๋องขายที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเท่านั้น ในปัจจุบันหน่อไม้ฝรั่งนับวันจะเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทั้งทางด้านการใช้ประโยชน์ภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศเป็นที่นิยมรับประทานกันมาก เพราะมีรสชาติหวาน กรอบ ใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิด นิยมบริโภคกันทั้งในรูปสด แช่แข็ง และบรรจุกระป๋อง
          สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยสามารถปลูกและเก็บเกี่ยวหน่อไม้ฝรั่งได้ตลอดปี มีปัญหาโรคและแมลงน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับพืชผักชนิดอื่นๆ แต่การจะผลิตหน่อไม้ฝรั่งที่มีคุณภาพดีนั้น จำเป็นจะต้องรู้จักนิสัยการเจริญเติบโต วิธีการปลูก และมีการดูแลรักษาเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด

ลักษณะต้น

          หน่อไม้ฝรั่งปลูกจากเมล็ด หรือปลูกโดยการแยกหน่อ มีลำต้นใต้ดินลักษณะเป็นเหง้าค่อนข้างกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 – 1.5 เซนติเมตร ที่เหง้านี้จะมีตาซึ่งเจริญขึ้นมาเป็นลำต้นเหนือดิน ลำต้นตรงกลม มีกิ่งแขนงแตกออกโดยรอบ บนกิ่งแขนงมีใบเล็กๆ ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ คือ ลำต้นเหนือดินที่ยังอ่อนๆ มีลักษณะคล้ายหน่อไม้แต่ขนาดเล็กกว่า ลำต้นที่โผล่พ้นดินขึ้นมาจะมีสีเขียว แต่ถ้าใช้ดินหรืออินทรีย์วัตถุกลบโคน ก็จะได้หน่อสีขาว ความยาวของหน่อที่ตลาดต้องการประมาณ 8 – 12 นิ้ว เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 – 1.5 เซนติเมตร รากหน่อไม้ฝรั่งมี 2 ชนิด คือรากสะสมอาหาร และรากหาอาหาร รากสะสมอาหารมีขนาดใหญ่กว่ารากธรรมดา

ในประเทศไทยนิยมปลูก 3 พันธุ์คือ

  1. แมรี่วอชิงตัน (Marywashington) เป็นพันธุ์แรกที่นำเข้ามาปลูก ให้ผลดี เหมาะในการทำหน่อขาวและเขียว
  2. แคลิฟอร์เนีย (California 309) เป็นพันธุ์ที่แข็งแรง มีแนวโน้มให้ผลผลิตดีกว่าอีกสองพันธุ์เล็กน้อย สามารถทำได้ทั้งหน่อขาวและหน่อเขียว ขนาดของหน่อใหญ่กว่าเล็กน้อย
  3. แคลิฟอร์เนีย 500 (California 500) เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาทีหลัง ให้ผลผลิตใกล้เคียงกับพันธุ์แมรี่วอชิงตัน มีอายุเก็บเกี่ยวเบากว่าอีกสองพันธุ์ ทำได้ทั้งหน่อขาวและหน่อเขียว

          อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหน่อไม้ฝรั่ง คือ อุณหภูมิที่เหมาะสม 16 – 29 องศาเซลเซียส ต่ำสุด 10 องศาเซลเซียส สูงสุด 35 เซลเซียส จะเห็นว่าประเทศไทยสามารถปลูกหน่อไม้ฝรั่งได้ดีและมีการเจริญเติบโตต่อเนื่องกันทั้งปี สามารถให้หน่อได้ตลอดปี แต่ถ้าถอนหน่อตลอดปี เหง้าก็ไม่มีโอกาสพักตัวเพื่อสะสมอาหาร จะมีผลกระทบต่อผลผลิตและอายุของต้น ดังเช่นหน่อไม้ฝรั่งที่หุบกระพงปลูกเพียง 6 ปีก็ต้องถอนต้นทิ้งปลูกใหม่

การเตรียมแปลงปลูก

          ที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินร่วนปนทรายมีอินทรีย์วัตถุสูง ยิงอินทรีย์วัตถุสูงมากยิ่งดี การปลูกเพื่อผลิตหน่อขาวจำเป็นต้องใส่อินทรีย์วัตถุและปุ๋ยคอก 2 – 3 ตันต่อไร่ ในภาคกลางเกษตรกรปลูกหน่อไม้ฝรั่งในแปลงปลูกผักแบบร่องจีน ซึ่งดินมีสีดำเป็นดินเหนียวหนักมาก สามารถปลูกหน่อไม้เพื่อทำหน่อเขียวได้ ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกหน่อไม้ฝรั่งควรเป็นดินที่ไม่เป็นกรด คือ มีพีเอช (PH) 6 – 6.8 ถ้าดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาว ในภาคกลางใส่ปูนขาวประมาณ 150 – 200 กิโลกรัมต่อไร่
          การเตรียมแปลงปลูก ต้องคำนึงถึงระบบการให้น้ำเป็นสำคัญในภาคกลางปลูกแบบร่องจีน ให้น้ำโดยใช้เรือมีเครื่องยนต์พ่นน้ำออกมาเป็นฝอยสองข้าง มีคนลากเรือเดินไปตามร่อง ในที่มีการให้น้ำแบบร่อง หรือมีสายยางฉีดพ่นน้ำ ให้ยกร่องเดี่ยวระยะระหว่างร่องห่างกัน 1.5 เมตรรวมทั้งร่องน้ำด้วย ระยะระหว่างต้น 40 – 45 เซนติเมตร ในที่ดินนาหลังจากเกี่ยวข้าวแล้วถ้าจะปลูกหน่อไม้ฝรั่งต้องคิดให้รอบคอบ เพราะหน่อไม้ฝรั่งมีอายุยืน และแปลงปลูกหน่อไม้ฝรั่งจะต้องอยู่ติดกับแปลงปลูกข้าวซึ่งจะมีน้ำขังเป็นระยะต้องทำร่องระบายน้ำอย่างดี เพื่อไม่ให้น้ำท่วมแปลง

การเพาะกล้า

          หน่อไม้ฝรั่งโดยทั่วไปปลูกจากเมล็ด ซึ่งจะต้องทำการเพาะให้เป็นกล้าเสียก่อนประมาณ 4 – 5 เดือน จึงจะย้ายไปปลูกในแปลงใหญ่ได้ ควรลงมือเพาะกล้าระหว่างเดือนมีนาคม – เมษายน หรือระหว่างเดือนกันยายน – ตุลาคม
          เลือกแปลงเพาะกล้าในบริเวณที่ดินอุดมสมบูรณ์ ขุดหรือไถดินให้ลึก เก็บหญ้าออกให้หมด ตากดินไว้อย่างน้อย 15 วัน แล้วจึงย่อยหน้าดินให้ละเอียด ทั้งนี้จะต้องเตรียมแปลงเพาะกล้าให้ดีกว่าการเพาะกล้าผักชนิดอื่นๆ เพราะกล้าหน่อไม้ฝรั่งจะต้องเจริญอยู่ในแปลงเพาะนาน 4 – 5 เดือน ซึ่งนานกว่าการเพาะกล้าผักโดยทั่วไป ควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยมูลสัตว์ในขณะเตรียมดินเพื่อให้ดินร่วนซุยและอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและเร่งการเจริญเติบโตให้แก่ต้นกล้า เช่น สูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ใช้ประมาณ 25 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่คลุกเคล้าลงไปในดินจนเข้ากันดี แล้วจึงยกร่องกว้างประมาณ 1 เมตร ถึง 1 เมตรครึ่ง ความยาวของร่องไม่จำกัดสุดแล้วแต่ความยาวของพื้นที่หรือกะตามความเหมาะสม เว้นระยะร่องให้ห่างกันประมาณ 50 เซนติเมตร เพื่อให้เป็นทางระบายน้ำหรือทดน้ำเข้าแปลง
          ก่อนนำเมล็ดไปเพาะ แช่น้ำอุ่นจัดไว้ 1 คืน ถ้ามีเมล็ดลีบลอยขึ้นมาช้อนทิ้งเสีย เอาเมล็ดขึ้นผึ่งลมพอหมาด คลุกยากันรา รดน้ำแปลงเพาะให้ชุ่ม นำเมล็ดไปหยอดโดยขุดหลุมตื้นๆ บนแปลงเป็นแถวให้หลุมห่างกัน 20 เซนติเมตร และแถวห่างกัน 30 เซนติเมตร กลบดินสูง 3 เซนติเมตรหรือประมาณ 1 องคุลี หาฟางข้าวมาคลุมแปลงเพาะกล้าบางๆ หลังจากเพาะประมาณ 10 วัน กล้าจะงอกหมด เอาฟางออกวางไว้ระหว่างแถวของต้นกล้า ถ้าฝนไม่ตกดินแห้ง ต้องรดน้ำแปลงกล้าบ้าง
          ขณะที่กล้ากำลังเติบโตอยู่ในแปลงเพาะ คอยตัดหรือถอนต้นที่อ่อนแอไม่สมบูรณ์ทิ้ง หากมีหญ้าขึ้นต้องถอนทิ้งให้หมด หาปุ๋ยเคมีชนิดละลายน้ำสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 หรือสูตรใกล้เคียง ใช้ปุ๋ย 2 ช้อนแกงละลายในน้ำ 1 ปี๊บ รดแปลงกล้า 7 วันครั้ง
          พอกล้าอายุได้ 4 – 5 เดือน ก็ขุดไปปลูกในแปลงใหญ่ได้ โดยเลือกเฉพาะกล้าที่แข็งแรงเติบโตดี กอใหญ่ รากมาก ต้นใหญ่ และมีตาขนาดใหญ่ ไม่ควรเสียดายกล้าที่อ่อนแอ ต้นเล็กแกร็น เพราะถ้านำไปปลูกจะเก็บหน่อได้น้อย ทำให้ไม่คุ้มกับเวลาและแรงงานที่ต้องดูแลรักษา

วิธีปลูก

          ย้ายกล้าอายุ 5 – 6 เดือนลงแปลงปลูก หลังจากย้ายปลูกแล้วประมาณ 3 เดือน เริ่มเก็บหน่อเขียวหรือหน่อขาวได้ การเก็บเกี่ยวนี้ต้องทำทุกวันในตอนเช้า หน่อไม้ฝรั่งกอหนึ่งถ้าเลี้ยงต้นแม่ไว้ประมาณ 3 – 4 ต้น สามารถให้หน่อได้ 1 – 2 หน่อต่อช่วงระยะเวลาทุก 4 วัน การเจริญเติบโตของเหง้าใต้ดินเป็นอย่างช้าๆ แต่ไม่หยุด ขนาดของเหง้าจะใหญ่มากขึ้นตาม ถ้าต้องการให้เหง้าพักตัว ก็ให้ตัดต้นแม่ที่อยู่เหนือดินให้หมด หยุดทำการเก็บเกี่ยวประมาณ 1 – 2 เดือน อาหารสะสมที่เหง้าก็จะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันกับที่หยุดพักเก็บเกี่ยว ให้เลี้ยงลำต้นใหม่จำนวน 3 – 4 ต้นเป็นต้นแม่ต่อไป
          การตัดลำต้นแม่เหนือดินทิ้งควรทำประมาณปีละ 1 ครั้ง จะให้เร็วกว่าหรือช้ากว่านี้ก็ได้ ในกรณีที่หน่อไม้ฝรั่งมีโรคระบาดมาก ให้ตัดต้นแม่เหนือดินทิ้งทั้งหมด นำต้นที่ตัดทิ้งไปเผาไฟทำลายเชื้อโรค อย่าทิ้งต้นเป็นโรคไว้ในแปลง
          หน่อไม้ฝรั่งหลังย้ายปลูกแล้วประมาณ 4 – 6 เดือนลำต้นจะสูงประมาณ 3 – 3.5 ฟุต ถ้าปลูกในที่ที่มีลมพัดแรงจะทำให้ต้นล้ม จำเป็นต้องปักไม้ไผ่หัวแปลง ใช้เชือกไนล่อนจึงพยุงลำต้นมิให้ล้ม วิธีนี้เปลืองแรงงานมาก ดังนั้นควรปลูกพืชบังลม หรือใช้วิธีตัดยอดหน่อไม้ฝรั่งออกหนึ่งในสามจะช่วยให้ลำต้นไม่ล้มและประหยัดกว่า
          การเจริญเติบโตของหน่อไม้ฝรั่งจะไม่หยุด เนื่องจากอุณหภูมิของประเทศไทยเหมาะสมดังกล่าวแล้วข้างต้น ดังนั้นข้อควรระวัง คือ ต้องเว้นระยะการเก็บเกี่ยวให้มีการพักเพื่อสะสมอาหารใต้ดินในปีหนึ่งๆ ควรมีระยะพักประมาณ 3 – 4 เดือน การที่จะหยุดพักเมื่อใดให้ดูจากสภาพต้นว่าทรุดโทรมมากไหม มีการให้หน่อมากขึ้นหรือน้อยลง ภาวะการตลาดเป็นอย่างไร หากไม่หยุดแต่ถอนหน่อขายตลอดปี จะทำให้ได้หน่อที่มีคุณภาพต่ำลงเรื่อยๆ

การใส่ปุ๋ย

          ในภาคกลางปลูกแบบร่องจีนดินเหนียวหนัก ควรใส่ปุ๋ยอัตราส่วนของ ไนโตรเจน:ฟอสเฟต:โปแตสเซี่ยม 1.5:1:1 แต่ถ้าเป็นดินร่วนทรายควรให้ปุ๋ยโปแตสเซี่ยมมากขึ้น โดยให้มีปริมาณเท่ากับปุ๋ยไนโตรเจน คือ มีอัตราส่วน 1.5:1:1.5
          การแนะนำการใส่ปุ๋ยนั้นเป็นเรื่องยากที่จะระบุว่าอัตราส่วนของธาตุทั้งสาม อัตราส่วนใดจึงจะดีที่สุด ถูกต้องที่สุด จำเป็นต้องศึกษาการให้ปุ๋ยควบคู่กับการเจริญของพืชในแต่ละท้องถิ่นไปด้วยและควรจะนำตัวอย่างดินไปตรวจวิเคราะห์ก็จะดียิ่งขึ้น

หลักการกว้างๆ ในการใส่ปุ๋ยหน่อไม้ฝรั่ง มีดังนี้
  1. ปุ๋ยรองก้นหลุม ขุดหลุมลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 จำนวน 15 กรัมต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ ต่อจำนวนต้นปลูก 2,000 ต้นต่อไร่ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ 2 ตันต่อไร่
  2. ปุ๋ยแต่งหน้า
      • ครั้งที่ 1 หลังจากย้ายกล้าแล้ว 10 – 15 วัน ใส่ปุ๋ย 26-0-0 จำนวน 15 กรัมต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่โรยรอบๆ โคนต้น แล้วรดน้ำตาม
      • ครั้งที่ 2 หลังจากย้ายปลูก 1 เดือน ใส่ปุ๋ย 15-15-15 จำนวน 15 กรัมต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่เป็นจุดห่างจากต้นประมาณ 1 คืบ หรือโรยรอบโคนต้นก็ได้
      • ครั้งที่ 3 หลังจากย้ายปลูกแล้ว 2 เดือน ใส่ปุ๋ย 15-15-15 จำนวน 15 กรัมต่อหลุม หรือ 30 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่โดยใช้จอบขุดดินระหว่างต้นซึ่งห่างกัน
      • ครั้งที่ 4 ถึงครั้งที่ 8 ให้ใส่ปุ๋ย 15-15-15 จำนวน 30 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่ทุกๆ เดือน วิธีใส่เป็นจุดห่างจากโคนต้นประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร จุดที่ใส่แต่ละเดือนควรหมุนเวียนไปโดยรอบต้นหรือถ้าทำงานไม่สะดวกที่จะใส่เป็นจุด เพราะต้นโตแล้วแต่ไม่มีการตัดแต่งให้เป็นระเบียบ ให้ใส่โดยหว่านปุ๋ยเป็นแนวตามความยาวของแปลง

          เมื่อใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครบ 8 ครั้ง คือหลังย้ายปลูก 8 เดือน ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ 15-15-15 จำนวน 240 กิโลกรัมต่อไร่ต่อ 8 เดือน 26-0-0 จำนวน 30 กิโลกรัมต่อไร่ต่อ 8 เดือน ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ 2 ตันต่อไร่
          ถ้าดินปลูกเป็นดินร่วนทรายมีธาตุโปแตสเซียมต่ำ ก็ให้เปลี่ยนสูตรเป็น 13-13-21 หรือถ้าดินขาดไนโตรเจน ให้เพิ่ม 26-0-0 ประมาณ 8 – 10 กิโลกรัมต่อไร่ ผสมกับปุ๋ย 15-15-5 หรือ 13-13-21
          ถ้าแปลงปลูกมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำควรใส่ปุ๋ยเพิ่มขึ้น และเสริมด้วยปุ๋ยพ่นทางใบที่มีธาตุอาหารรอง ฉีดพ่นเดือนละครั้ง

การเก็บเกี่ยว

          หลังจากย้ายปลูก 2 – 3 เดือน ก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้ต้องเก็บเกี่ยวทุกวันในตอนเช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน่อขาวต้องเก็บตอนเช้ามืดเวลา 6.00 นาฬิกา เพราะถ้าหน่อเจริญโผล่พ้นดินที่กลบไว้จะทำให้ส่วนปลายของหน่อมีสีเขียว ส่วนโคนมีสีขาวไม่เป็นที่ต้องการของโรงงานผลิตหน่อไม้ฝรั่งกระป๋อง แต่ปัจจุบันโรงงานบางแห่งยอมรับหน่อไม้ฝรั่งที่ส่วนปลายมีสีเขียวยาวไม่เกินสองนิ้ว ซึ่งเรียกว่าพวก กรีนทิป
          การเก็บหน่อทำได้ 2 วิธี คือ การเก็บหน่อขาว และการ เก็บหน่อเขียว การเก็บหน่อเขียว
          หน่อขาวนั้นพ่อค้าผู้รับซื้อจะนำไปบรรจุกระป๋อง หน่อเขียวจำหน่ายแก่ผู้นำไปบริโภคสด ราคาก็แตกต่างกัน ปกติราคาหน่อขาวจะแพงกว่าหน่อเขียวเล็กน้อย เพราะการเก็บหน่อชนิดขาวต้องใช้แรงงานเพิ่มขึ้นในเรื่องการพูนดินกลบโคนและการขุดหน่อ
          ก่อนจะเริ่มเก็บหน่ออ่อนประมาณ 1 สัปดาห์ ต้องตัดหรือถอนต้นหน่อไม้ฝรั่งที่แก่ทิ้งเสียบ้าง ถ้าใช้วิธีตัดต้นต้องตัดให้ชิดดินเหลือต้นที่สมบูรณ์ไว้เลี้ยงกอประมาณกอละ 3 – 4 ต้นเท่านั้น และใส่ปุ๋ยคอกร่วมกับปุ๋ยเคมีตามวิธีการใส่ปุ๋ยดังกล่าวแล้วข้างต้น ทั้งนี้เพื่อให้ต้นหน่อไม้ฝรั่งได้รับอาหารสมบูรณ์เต็มที่ แล้วพูนดินกลบโคน ในปีแรกของการเก็บหน่อควรพูนดินสูงประมาณ 10 – 12 เซนติเมตร ไม่ควรให้สูงเกิน 15 เซนติเมตร เมื่อปลูกย่างเข้าปีที่สองจึงจะพูนให้สูงประมาณ 20 เซนติเมตร การตัดหน่อควรทำในตอนเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจึงจะได้หน่อที่มีคุณภาพดี และควรทำการตัดหน่ออ่อนวันเว้นวัน
          ถ้าต้องการตัดเป็นหน่อขาวส่งโรงงาน คุ้ยดินรอบๆ หน่อออก ใช้มีดคมๆ ตัดตรงโคนหน่อ ระวังอย่าให้กระทบกระเทือนถึงหน่ออื่นที่กำลังแทงขึ้นมา หลังจากตัดหน่อแล้วต้องพูนดินกลบโคนไว้ให้เรียบร้อยตามเดิม
          หน่อขาวที่ผู้รับซื้อนำไปบรรจุกระป๋อง จะให้ราคาตามขนาดหรือเกรดของหน่อ
          การเก็บหน่อเขียว หน่อเขียวเป็นหน่อชนิดที่ใช้บริโภคสด ถ้าเก็บหน่อเขียวต้องปล่อยให้แทงหน่ออ่อนพ้นดินขึ้นมาเสียก่อน หน่อจะมีสีเขียวเพราะถูกแสงแดด จนกระทั่งมีความสูงประมาณ 20 – 24 เซนติเมตรจากระดับดินก็ทำการเก็บ คุ้ยดินโคนหน่อออก ใช้มีดคมๆ ตัดชิดโคน ระวังอย่าให้กระทบกระเทือนหน่อที่กำลังแทงขึ้นมา ตัดแล้วพูนดินกลบโคนให้เรียบร้อย สำหรับหน่อเขียวที่มีขนาดเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร พ่อค้าจะไม่รับซื้อ ควรคัดออกไว้รับประทานเอง
          หน่ออ่อนที่ตัดได้ในปีแรกส่วนใหญ่จะเป็นขนาดเล็ก ในปีถัดไปจึงจะให้หน่อมีขนาดโตขึ้น ผลผลิตเฉลี่ยของหน่ออ่อนในปีที่สองและปีถัดไปประมาณ 600 – 1,200 กิโลกรัมต่อไร่
          ในระหว่างระยะตัดหน่ออ่อน ถ้าสังเกตเห็นว่าต้นแม่ที่เลี้ยงไว้แก่และโทรม หรือฉีกขาดไม่สมบูรณ์ ก็ถอนหรือตัดต้นเก่าทิ้งแล้วเลี้ยงหน่อใหม่ขึ้นมาแทนให้มีต้นแม่คงไว้ 3 – 4 ต้นเสมอ ในปีหนึ่งๆ จะตัดหน่ออ่อนได้เวลานานราว 8 – 9 เดือน

          นี่ก็เป็นเกร็ดความรู้เรื่อง “การปลูกหน่อไม้ฝรั่ง” ที่นิทานบ้านไร่นำมาเล่าให้ฟัง ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เราพร้อมจะแบ่งปัน โดยเฉพาะการทำ “ภูมินิเวศเกษตร” การเกษตรปลอดสารพิษที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และใช้สิ่งแวดล้อมมาช่วยทำเกษตร สามารถติดตามได้ที่ FANPAGE นิทานบ้านไร่ bokujou หรือขอคำปรึกษาการทำ “ภูมินิเวศเกษตร” ได้ที่ LINE: @bokujoufarm

ถ้าชอบทความ หรือสาระความรู้นี้มีประโยชน์
อย่าลืมแชร์ต่อให้เพื่อนๆได้อ่านด้วยนะครับ

Top